วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การเกษตร




ความเป็นมาของการเกษตร

        มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ในสมัยโบราณการทำเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ในดินแดนแถบ Fertile Crescent โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นประเทศซีเรียและตอนใต้ของอิรักในปัจจุบัน เมื่อช่วงประมาณ 9,500 ปีก่อนคริสตกาล คนในสมัยนั้นเริ่มมีการคัดเลือกพืชอาหารที่มีลักษณะตามความต้องการเพื่อนำไปเพาะปลูก

        ประมาณ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ระบบเกษตรกรรมขนาดเล็กได้แพร่เข้าไปสู่อียิปต์ ในช่วงเวลาเดียวกันก็เริ่มมีการเพาะปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งปรากฏหลักฐานในการขุดค้นแหล่งโบราณคดี Mehrgarh ในภูมิภาค Balochistan จนถึงเมื่อ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล ในอียิปต์เริ่มมีการทำเกษตรกรรมขนาดกลางบนริมฝั่งแม่น้ำไนล์ และในช่วงเวลานี้ในภูมิภาคตะวันออกไกลก็มีการพัฒนาทางเกษตรกรรมในรูปแบบเฉพาะตน โดยจะเน้นเพาะปลูกข้าวเจ้าเป็นพืชผลหลักมากกว่าข้าวสาลี

ความหมายของการเกษตร
        
        การเกษตรหรือการเกษตรกรรม(Agriculture) หมายถึง การเพราะปลูกพืชต่างๆ รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์และการประมง ผู้ที่ทำการเกษตรนั้น เรียกว่า เกษตรกร ส่วนคำว่า กสิกร นั้นหมายถึงผู้ที่ทำการกสิกรรม คือผู้ที่ปลูกพืชเพียงอย่างเดียว เช่น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน

        การเกษตรจึงเป็นการจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน และทุน โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตจากทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเรานิยมเรียกว่า ผลผลิตทางการเกษตร



ประโยชน์และความสำคัญของการเกษตร

        การเกษตรมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยมนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์อย่างหลากหลายจากพืช สัตว์ ในชีวิตประจำวัน โดยใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค โดยมนุษย์รู้จักเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร นำไปประกอบอาหารรับประทาน สร้างความเจริญเติบโตแก่ร่างกาย นำส่วนต่างๆ ของพืชเส้นใยไปผลิตสิ่งทอหรือใช้หนังสัตว์ทำเครื่องนุ่งห่ม ปลูกป่าเพื่อนำไม้ไปเป็นอุปกรณ์การก่อสร้าง สร้างที่พักอาศัย อาคารสถานที่ ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่างๆ และปลูกพืชสมุนไพร เพื่อนำไปใช้เป็นยารักษาโรค ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้น

ประเภทของการเกษตร
        แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

1. การปลูกพืช มีหลายชนิดโดยลักษณะธรรมชาติของพืชแต่ล่ะชนิดก็แตกต่างกันไป ซึ่งนักวิชาการเกษตรได้แบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น วิธีการปลูก ดูแลรักษา นำไปใช้ประโยชน์ สำหรับในที่นี้ได้จัดแบ่งลักษณะจากการปลูกและดูแลรักษาเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1.1. พืชสวน หมายถึง พืชที่ปลูกในเนื้อที่น้อย สามารถให้ผลตอบแทนสูง ต้องการการดูแลรักษามาก แบ่งย่อยได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
- ไม้ดอกไม้ประดับ ลักษณะการปลูก คือ นิยมปลูกไว้ในบ้าน และบริเวณบ้านหรือในกระถางใช้พื้นที่ไม่มาก ใช้ตกแต่งอาคารสถานที่เพื่อความสวยงาม วิธีการดูแลรักษา รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยอย่างง่ายๆ อย่างสม่ำเสมอ
- พืชผัก ลักษณะการปลูก คือ ปลูกในแปลงเพราะปลูก หรือสวนผักโดยเฉพาะวิธีการดูแลรักษา นอกจากจะดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยตามปกติแล้วจะต้องกำจัดศัตรูพืช และมีการป้องกันแมลงต่างๆ อย่างดี พืชผัก เช่น หอม กระเทียม มะเขือ คะน้า แตงกวา และผักกวางตุ้ง
- ไม้ผล ลักษณะการปลูก คือ ปลูกในสวนผลไม้ หรือพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างขวาง เพราะต้นไม้จะเป็นไม้ยืนต้น อายุการให้ผลยาวนาน วิธีการดูแลรักษาพิเศษกว่าปกติ ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงดิน ตกแต่งกิ่ง และตรวจสอบดูหนอน แมลง ศัตรูพืช ไม้ผล เช่น มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุด ลำไย ฯลฯ
1.2. พืชไร่ หมายถึง พืชที่ปลูกโดยใช้เนื้อที่มาก มีการเจริญเติบโตเร็ว ไม่ต้องการการดูแลรักษามากเหมือนพืชสวน ส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุก มีอายุตั้งแต่ 2 เดือน ถึง 1 ปี หรือมากกว่า ผลผลิตของพืชไร่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของคนไทย โดยใช้บริโภคเป็นอาหารหลัก และส่งเป็นสินค้าออกจัดเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสามารถนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย ถั่วต่างๆ ยาสูบ ฝ้าย มันสำปะหลัง เป็นต้น

2. การเลี้ยงสัตว์ มีการเลี้ยงมานานแล้ว โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ตามชนบท นอกจากจะประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ แล้วมักจะเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปด้วยเพื่อใช้เป็นอาหาร แรงงาน ในการเพาะปลูก การขนส่ง และเพื่อแก้เหงา ซึ่งปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์ในแง่การใช้แรงงานลดน้อยลง แต่จะมีบทบาทมากในแง่ของการเลี้ยงเพื่อใช้เป็นอาหารเนื่องจากผู้บริโภคนิยมบริโภคเนื้อสัตว์กันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังสามารถส่งออกจำหน่ายยังต่างประเทศได้อีกด้วย วัตถุประสงค์ของการเลี้ยงสัตว์ แบ่งออกได้ดังนี้
1.เพื่อไว้ใช้บริโภค
2.เพื่อไว้ใช้แรงงาน
3.เพื่อประกอบอาชีพ
4.เพื่อเสริมรายได้
5.เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทำเครื่องนุ่งห่มของใช้และยารักษาโรค
6.เพื่อความสวยงามและความเพลิดเพลิน
7.เพื่อใช้ประโยชน์ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์

3. การประมง การทำประมงเป็นการเกษตรเกี่ยวกับการเลี้ยงและการจับสัตว์น้ำทุกชนิดของประเทศไทยซึ่งการทำประมงนี้สามารถสร้างรายได้ให้ประชาชน และประเทศเป็นจำนวนมาก การทำประมงในประเทศไทยสามารถแบ่งออกตามลักษณะของแหล่งน้ำได้ 3 ประเภท คือ
3.1. การทำประมงน้ำจืด หมายถึง การทำประมงในแหล่งน้ำจืดตามบริเวณที่ต่างๆ ได้แก่การจับปลาในแม่น้ำ ลำคลอง การเลี้ยงปลาน้ำจืดในกระชัง การเลี้ยงปลาสลิดในบ่อ เป็นต้น
3.2. การทำประมงน้ำเค็มหรือการทำประมงทะเล หมายถึง การจับกุ้งทะเล ปลา และปลาหมึก ตลอดจนการเลี้ยงหอยทะเลต่างๆ เช่น การเลี้ยงหอยแมลงภู่ การเลี้ยงหอยนางรม เป็นต้น
3.3. การทำประมงน้ำกร่อย หมายถึง การทำประมงในบริเวณเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่น้ำเค็มและน้ำจืด เช่น การเลี้ยงกุ้งกุลาดำ การเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง การเลี้ยงปลานวลจันทร์เป็นต้น

4. การป่าไม้ หมายถึง การประกอบอาชีพเกี่ยวกับป่า เช่น การปลูกป่าไม้เศรษฐกิจ การนำผลผลิตจากป่ามาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ เป็นต้น

อ้างอิงจาก:
www.wikipedia.org
www.l3nr.org


วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่างธุรกิจ



ธุรกิจร้านดอกไม้

จุดเริ่มต้นของธุรกิจร้านดอกไม้
        การมอบดอกไม้นั้น เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เรามักจะพบบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในซีกโลกตะวันตกหรือซีกโลกตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลามล้วนแล้วแต่ต้องใช้ดอกไม้เป็นองค์ประกอบในพิธีกรรมทางศาสนา                                                       
        ดอกไม้จึงมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกยันเสียชีวิตเลยทีเดียว คงจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่อยากได้รับดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ คงจะไม่มีบัณฑิตคนไหนที่ไม่ต้องการดอกไม้แสดงความยินดีในวันรับปริญญา
        คงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะดีใจมากไปกว่าการที่มีผู้ชายคุกเข่าเพื่อขอแต่งงานพร้อมกับช่อดอกไม้และแหวนวงโต และคงไม่มีคนป่วยคนไหนที่ไม่อยากได้รับดอกไม้ แสดงการให้กำลังใจของผู้มอบ รวมไปถึงคงไม่มีงานศพใดที่ไม่มีการส่งพวงหรีดแสดงความเสียใจอย่างแน่นอน
        ด้วยความที่ดอกไม้มีบทบาทเป็นอย่างมากกับวิถีชีวิตคนในปัจจุบัน จึงทำให้เราเห็นร้านดอกไม้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่เมื่อในเทศกาลสำคัญๆที่มีการใช้ดอกไม้มากๆอย่างวาเลนไทน์ ดอกไม้ที่มีอยู่ในตลาดนั้น แม้จะแพงขนาดไหนก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อที่ทะลักและล้นหลามอยู่ดี
        ธุรกิจร้านดอกไม้ จึงเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนเพราะมีความต้องการเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ตราบเท่าที่คนไทยยังต้องพบกับงานวันเกิด รับปริญญา ขอแต่งงาน งานแต่งงาน และงานศพ วัฒนธรรมการใช้ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ก็จะยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างแน่นอน


รูปแบบของธุรกิจร้านดอกไม้
1. รับดอกไม้มาขายแบบง่ายๆ
        สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินทุนที่มากนักบวกกับยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับดอกไม้ซักเท่าไหร่ การรับดอกไม้มาขายแบบง่ายๆนั้น ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว ถึงแม้ว่าจะดูเป็นแค่การซื้อมาขายไป ไม่ได้เพิ่มมูลค่าอะไรมากนัก แต่หากเป็นในเทศกาลที่สำคัญๆอย่างวาเลนไทน์ รูปแบบนี้ก็สามารถขายดอกไม้และทำเงินได้อย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน

2. ขายดอกไม้และรับจัดช่อดอกไม้
        คุณอาจจะรับดอกไม้มาขายแบบง่ายๆได้ซักพักหนึ่งและเริ่มมีเงินทุน รวมไปถึงได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดดอกไม้ คุณก็สามารถที่จะเริ่มต้นร้านดอกไม้ในลักษณะนี้ได้แล้ว การจัดดอกไม้เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับดอกไม้ที่ราคาไม่แพงนัก แต่เมื่อมารวมกันเป็นช่อกลับได้ราคาสูงอย่างน่าตกใจ บางครั้งราคาดอกไม้รวมกันอาจจะแค่หลักร้อย แต่เมื่อจัดแล้วสามารถขายได้ในหลักพันเลยทีเดียว

3. มีบริการ Delivery
         เมื่อคุณมีทักษะในการจัดดอกไม้แล้ว วิธีการเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับธุรกิจร้านดอกไม้เพิ่มเติมอีกคือ การให้บริการส่งแบบ Delivery ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากบางครั้งลูกค้าก็ไม่ว่างที่จะมาซื้อดอกไม้และเจรจาต่อรองด้วยตัวเอง แต่ต้องการซื้อด้วยความสะดวกสบาย ด้วยการโทรสั่งให้ไปส่งดอกไม้แบบ Delivery หรืออาจจะสั่งผ่าน Website ก็ไม่ผิด ถ้าจะเริ่มต้นร้านดอกไม้แบบ Online คุณก็สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเช่า Host ของตัวเอง และจด Domain โดยอาจจะทำผ่าน Bluehost.com หรือ Hostgator.com ซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูงและ Serverไม่ล่ม ทำให้การทำธุรกิจแบบ Delivery น่าเชื่อถือขึ้น
4. ปลูกดอกไม้                                                                                                                                                             หากคุณเบื่อที่จะต้องบริหารจัดการหน้าร้านแต่มีที่ดินอยู่ต่างจังหวัดและมีความพร้อมที่จะทำการเกษตร การปลูกดอกไม้เพื่อส่งให้ร้านต่างๆก็เป็นรูปแบบธุรกิจที่ไม่เลว หรือคุณอาจจะมีหน้าร้านของตัวเองด้วยก็ไม่ผิด และทำให้ได้กำไรเต็มๆรวมไปถึงได้สานสัมพันธ์กับร้านค้าที่อยู่บริเวณโดยรอบ ทำให้คุณสามารถขายดอกไม้จากสวนของคุณให้กับพวกเค้าโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง


จุดเด่นของธุรกิจร้านดอกไม้
1. ขายดีมากในช่วงเทศกาล
         บางคนอาจจะมองว่า ธุรกิจร้านดอกไม้ไม่น่าจะทำได้กำไรเยอะ เพราะวันๆนึงน่าจะมีคนเข้ามาในร้านแค่ไม่กี่คน แต่เค้ามองข้ามจังหวะเทศกาลที่มีคนเข้ามาในร้านมหาศาลไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวาเลนไทน์ กำไรในช่วงเทศกาลนั้นสูงพอที่จะทำให้ร้านได้กำไรเพียงพอสำหรับอยู่ได้ทั้งปีเลยทีเดียว

2. คนเดียวก็ลุยได้
         ถ้าคุณตั้งใจเปิดร้านขายดอกไม้อย่างง่ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนให้วุ่นวาย เพราะเป็นธุรกิจที่คนๆเดียวก็สามารถดูแลร้านได้อย่างสบายๆ ชงเอง จัดร้านเอง เก็บตังค์เอง ไม่ต้องแบ่งใคร ไม่ต้องปวดหัวเรื่องลูกจ้างจะมาไม่มา จะเปิดร้านได้หรือไม่
3. ใช้เงินลงทุนน้อย
        ธุรกิจดอกไม้เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจประเภทอื่นๆ Stock มักจะเป็นวันต่อวันและการตกแต่งร้านก็ใช้เงินน้อยเช่นเดียวกัน




ปัจจัยสู่ความสำเร็จของธุรกิจร้านดอกไม้

1. สายสัมพันธ์กับเจ้าของสวนดอกไม้
        สายสัมพันธ์กับเจ้าของสวนดอกไม้เป็นเหมือนกับเส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจร้านดอกไม้ ดอกไม้ที่เราต้องรับจากเค้าทุกวันเป็นหัวใจของธุรกิจ คงจะไม่ดีถ้าเค้าส่งดอกไม้ที่ใกล้จะเสียให้เราเพราะว่าหมั่นไส้ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้
2. การบริหาร Stock หรือสินค้าคงเหลือ
        การบริหาร Stock สินค้าเป็นตัวบอกว่า คุณจะทำกำไรได้หรือไม่ ยิ่งดอกไม้เป็นสินค้าที่เน่าเสียได้เร็ว การดูแล Stock สินค้าไม่ให้มากเกินไปยิ่งทวีความสำคัญขึ้น ไม่งั้นอาจจะเจ๊งได้ง่ายๆเลยทีเดียว
3. การบริการที่เหนือกว่า                 
        ธุรกิจร้านดอกไม้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องมีการบริการที่เป็นเลิศ เราจะเห็นได้ว่า บางครั้งลูกค้าขาจรที่เพิ่งเคยเข้ามาร้านเราเป็นครั้งแรก อาจจะด้อมๆมองๆ ว่าจะซื้อหรือจัดดอกไม้อย่างไรดี เราก็ควรที่จะแนะนำลูกค้าได้ว่า ชุดไหน แบบไหนเหมาะกับจุดประสงค์ที่ลูกค้าจะไปมอบให้ เพื่อให้ลูกค้าขาจรนั้นประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มา ลูกค้าจะหลงรักร้านของเราและเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่จะตัดสินใจมาใช้บริการ


อ้างอิงจาก:
www.shoplri.com
ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก Youtube


วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ธุรกิจ



ความหมายและความสำคัญของธุรกิจ
ความหมายของธุรกิจ
             ธุรกิจ หมายถึงกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดจำหน่าย และการบริการ โดยภายในหน่วยงานหรือธุรกิจนั้นๆ มีการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างมีระบบ มีระเบียบตามกฏเกณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนหรือผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์หรือบรรลุตามเป้าหมายของธุรกิจ และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
ความสำคัญของธุรกิจ
      ธุรกิจเป็นหัวใจสำคัญของสังคม สังคมจะเจริญก้าวหน้า มีความเป็นอยู่ที่ดี เป็นที่ยอมรับของชาวต่างประเทศ ก็ต้องอาศัยความเจริญของธุรกิจ ซึ่งอาจสรุปความสำคัญของธุรกิจได้ดังนี้
1.  ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศมีความก้าวหน้าและมั่นคง เนื่องจากมีการลงทุนประกอบธุรกิจ ทำให้มีการหมุนเวียน มีการกระจายรายได้ ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น
2. ช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการที่ประชาชนมีรายได้ จำเป็นต้องเสียภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้รัฐเพื่อที่จะนำรายได้เหล่านี้ไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ
3. ช่วยให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การทำธุรกิจย่อมต้องมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยอยู่เสมอ เพื่อเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค และทันคู่แข่งขัน
4. ช่วยให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น ทั้งนี้เพราะธุรกิจทำให้มีการจ้างงาน ประชาชนมีรายได้
5. ช่วยลดปัญหาทางด้านสังคม คือปัญหาเรื่องการว่างงาน ถ้าประชาชนมีการว่างงานจำนวนมาก ก็จะไม่มีรายได้ ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นตามมา เช่น การเกิดอาชญากรรม


องค์ประกอบของกิจกรรมทางธุรกิจ
        จากความหมายของธุรกิจจะเห็นได้ว่าธุรกิจจะดำเนินได้นั้นต้องมีการนำกิจกรรมหลายๆอย่างมาประสานกัน ซึ่งกิจกรรมนั้นๆก็คือ การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบภายในธุรกิจนั้นเอง
        หน้าที่ทางธุรกิจ หมายถึง การดำเนินกิจกรรมต่างๆที่จะผสมผสานทรัพยากรที่มีอยู่ภายในธุรกิจหรือหน่วยงานเข้าด้วยกันอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์ และสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมเพื่อให้สินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
        ทรัพยากร(Resource) ที่หน่วยงานมีอยู่ คือ วัสดุ อุปกรณ์ หรือสินทรัพย์ต่างๆ ที่หน่วยงานใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งแบ่งออกเป็น ประเภทหรือเรียกสั้นๆว่า 4 M's อันประกอบด้วย
1. คน(Man) เป็นทรัพยากรแรกที่ก่อให้เกิดการดำเนินงานภายในธุรกิจ ซึ่งนับรวมทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายปฎิบัติการ
2. เงินทุน(Money or Capital) คือสินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาจจะอยู่ในรูปของเงินสดหรือสินทรัพย์อื่นๆก็ได้
3. วัตถุดิบหรืออุปกรณ์(Material) คืออาจจะเป็นรูปของวัตถุดิบ ถ้าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจการผลิตเช่น เครื่องจักรกล วัสดุ อะไหล่ต่างๆ หรืออาจใช้ในการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จได้
4. การบริหารงานหรือการจัดการ(Management) คือกระบวนการหรือขั้นตอนในการนำคน เงิน ทุน และวัตถุดิบหรือวัสดุอุปกรณ์ มาดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด             
        การดำเนินของหน้าที่ภายในธุรกิจ เพื่อให้ทรัพยากรประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องแบ่งหน้าที่ต่างๆออกเป็น 5 หน้าที่ ดังนี้
1. หน้าที่เกี่ยวกับการผลิต(Production Function)
2. หน้าที่เกี่ยวกับการตลาด(Marketing Function)
3. หน้าที่เกี่ยวกับการเงิน(Financial Function)
4. หน้าที่เกี่ยวกับการบัญชี(Accounting Function)
5. หน้าที่เกี่ยวกับบุคคลากร(Personal Function)



ประเภทของธุรกิจ
         เราสามารถแบ่งประเภทธุรกิจได้อย่างกว้างๆเป็น 2 ประเภท คือ
1. ธุรกิจการผลิต(Goods-Producing Businesses) ธุรกิจจะผลิตสินค้าที่จับต้องได้(Tangible goods) ผ่านกระบวนการผลิตต่างๆ ธุรกิจประเภทนี้ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก หรือ อาจเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ใช้ทุนเป็นหลัก(Capital-intensive business) เช่นธุรกิจผลิตรถยนต์ ธุรกิจโทรคมนาคม เป็นต้น

2. ธุรกิจการบริการ(Service Businesses) ธุรกิจจะผลิตสินค้าที่ไม่มีตัวตน(Intangible goods) เช่นธุรกิจการเงิน ประกันภัย การค้าส่งค้าปลีก เป็นต้น ธุรกิจภาคบริการส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก(Labor-intensive business) จึงเป็นธุรกิจที่ต้องให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์เป็นหลัก

         การแบ่งประเภทของธุรกิจตามลักษณะของกิจกรรมที่ธุรกิจกระทำ แบ่งออกได้ดังนี้
1. ธุรกิจการเกษตร(Agriculture) การประกอบธุรกิจการเกษตร ได้แก่ การทำนา การทำไร่ การทำสวน การทำป่าไม้ การทำปศุสัตว์ ฯลฯ

2. ธุรกิจอุตสาหกรรม(Manufacturing) การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ ธุรกิจผลิตสินค้าเพื่ออุปโภค แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
     2.1. อุตสาหกรรมในครัวเรือน จัดเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ลงทุนไม่สูงนักส่วนใหญ่เป็นการใช้เวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลัก คือ การทำนาทำไร่ ขณะที่รอเก็บเกี่ยวพืชผลก็ใช้เวลาว่าง มาทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่ อุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา อุตสาหกรรมทำเครื่องเขิน อุตสาหกรรมทำเครื่องจักสาน ฯลฯ
      2.2. อุตสาหกรรมโรงงาน เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ผลิตสินค้ามีโรงงาน มีเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าได้ครั้งละจำนวนมาก มีการจ้างแรงงานจากบุคคลภายนอก ได้แก่ โรงงานผลิตรถยนต์ โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป โรงงานผลิตพลาสติก ฯลฯ

3. ธุรกิจเหมืองแร่(Mineral) การประกอบธุรกิจเหมืองแร่ ได้แก่ การทำเหมืองแร่ชนิดต่างๆ การขุดเจาะถ่านหิน การขุดเจาะนำทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้

4. ธุรกิจการพาณิชย์(Commercial) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าที่ผลิตจากอุตสาหกรรมต่างๆไปสู่ผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคได้อุปโภคบริโภคสินค้าตามความต้องการ ได้แก่ ธุรกิจพ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่างๆ

5. ธุรกิจการก่อสร้าง(Construction) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ในการนำวัสดุต่างๆ ได้แก่ อิฐ หิน ปูน ทราย มาใช้ในการก่อสร้าง เช่น การสร้างถนน สร้างอาคาร สร้างเขื่อน ก่อสร้างโรงพยาบาล เป็นต้น

6. ธุรกิจการเงิน(Finance) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้ธุรกิจอื่นทำงานได้คล่องตัวขึ้น เนื่องจากในการทำธุรกิจจะต้องเริ่มจากการลงทุน ซึ่งต้องใช้เงินในการลงทุน เช่น นำมาซื้อที่ดิน ปลูกสร้างอาคาร จ้างคนงาน ซื้อวัตถุดิบ ซื้อเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งถือว่าธุรกิจการเงินเป็นแหล่งที่ธุรกิจอื่นสามารถติดต่อในการจัดหาทุนได้ นอกจากนั้นในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศหรือส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ ธุรกิจการเงินจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อซื้อขาย ชำระเงินระหว่างกัน ธุรกิจที่จัดเป็นธุรกิจการเงิน ได้แก่ ธุรกิจประเภทธนาคาร บริษัทประกันภัย บริษัทการเงิน

7. ธุรกิจให้บริการ(Service) เป็นธุรกิจที่อำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจการขนส่ง ธุรกิจการสื่อสาร ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจการโรงแรม ฯลฯ

8. ธุรกิจอื่นๆ เป็นธุรกิจที่นอกเหนือจากธุรกิจประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจอาชีพอิสระต่างๆ เช่น วิศวกร แพทย์ สถาปัตย์ ช่างฝีมือ ประติมากรรม ฯลฯ

อ้างอิงจาก:
www.myumaisuniya.blogspot.com
www.novabizz.com/Business.htm

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เทคโนโลยี(Technology)





เทคโนโลยี  (Technology)
หมายถึง  สิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาขึ้นมา เช่น วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ โดยประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และสาขาอื่น ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและแก้ปัญหาต่างๆ

เทคโนโลยีมีความสำคัญหลายด้าน ดังต่อไปนี้
1. สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี  โดยเมื่อใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้าน ใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางแทนการเดินหรือนั่งรถประจำทาง เดินทางโดยเรือยนต์ ทำให้มนุษย์ ประหยัดเวลาและสะดวกสบายไม่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน  และการใช้ชีวิตประจำวัน  มีเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและสุขภาพจิต ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

2.  เกิดการสื่อสารไร้พรหมแดน  เมื่อใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคม เช่น โทรศัพท์ อินเตอร์เนท  ดาวเทียม มนุษย์ทั่วโลกจะสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้ทุกที่ ทุกเวลา จึงเกิดความเสมอภาคกันในด้านศึกษาและการรับรู้ข่าวสารต่างๆ

3. ป้องกันความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สิน  เมื่อใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย เช่นภาพถ่ายดาวเทียม กล้องโทรทัศน์วงจรปิด  การติดตั้งเครื่องจับสัญญาณสึนามิในทะเล จะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินได้นั่นเอง

4. การทำงานรวดเร็วคล่องตัว  เมื่อใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร โทรสาร จะช่วยให้ทำงานเสร็จในเวลาที่กำหนด และมีคุณภาพ ประหยัดทรัพยากร

5. แก้ปัญหาต่างๆ ได้ เมื่อใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ซึ่งอาจเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือนำงานวิจัยและพัฒนาของบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งอาจจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ เช่น การใช้วิธีแกล้งดิน  ช่วยปรับสภาพดินเป็นกรดให้ปลูกพืชได้  การใช้พืชสมุนไพรในการกำจัดแมลงแทนสารเคมีช่วยแก้ปัญหาการเกิดมลพิษทางอากาศได้





ระดับของเทคโนโลยี
เทคโนโลยีเกิดจากการคิดค้นและพัฒนาของมนุษย์ มีหลักฐานปรากฏให้เห็นตั้งแต่ยุคโบราณซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินหรือใช้สอยประจำวัน ต่อมาในยุคกลางหรือยุคเหล็กจะเป็นการนำโลหะๆต่าง มาเป็นเครื่องมือและอาวุธรวมถึงการก่อสร้างที่อาศัย สำหรับในปัจจุบันสามารถแบ่งระดับของเทคโนโลยีได้  ประเภท ดังนี้

1.  เทคโนโลยีระดับพื้นบ้านหรือพื้นฐาน เป็นเทคโนโลยียุคแรกของบรรพบุรุษซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสังคเกษตรกรรมพื้นบ้านที่มีการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธเพื่อใช้ในการล่าสัตว์นำมาเป็นอาหาร  ผลิตวัสดุ และนำทรัพยากรท้องถิ่นมาใช้ รวมถึงมรการถนอมอาหาร เช่น  อาหารตากแห้ง  เทคโนโลยีระดับนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ หรือมีความรู้มากมาย เพียงแค่รู้หลักการและวิธีการใช้เท่านั้น ตัวอย่างเทคโนโลยีระดับนี้ ได้แก่ ขวาน  มีดพร้า เสียม จอบ ลอบดักปลา อวน แห คันไถ หม้อไห กระต่ายขูดมะพร้าว ครกตำข้าว ยาสมุนไพร เรือพาย  ครกกระเดื่อง ระหัดวิดน้ำ เครื่องสีข้าว  ครกหินบดยา เป็นต้น

2. เทคโนโลยีระดับกลาง  เป็นเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนขึ้นโดยต้องใช้ความรู้และประสบการณ์  จากการแก้ปัญหาเกษตรกรรมพื้นบ้าน  มาพัฒนาระบบการทำงาน กลไกลต่างๆ และแก้ไข ซ่อมแซม อุปกรณ์ เครื่องมือให้กลับมามีสภาพดีดังเดิม ตลอดจนเผยแพร่ความรู้แก่คนในท้องถิ่นได้ ตัวอย่าง เทคโนโลยีระดับนี้ ได้แก่ การใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน  การใช้เครื่องทุ่นแรง  เครื่องยนต์  มอเตอร์  การจับสัตว์น้ำด้วยเรือยนต์ลากจูง  เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ กังหันลมช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้า กังหันลมช่วยสูบน้ำใต้ดิน  สว่านไฟฟ้า เครื่องเจาะไฟฟ้า  การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพ การสร้างอ่างเก็บน้ำ  การผลิตอาหารจากผลผลิตเหลือใช้ทางการเกษตร  เครื่องมือขูดมาพร้าวที่ติดมอเตอร์ใช้ไฟฟ้า  เป็นต้น

3.  เทคโนโลยีระดับสูง  เป็นเทคโนโลยีที่ผู้พัฒนาต้องมีประสบการณ์อันยาวนาน  เพื่อให้สามารถปรับปรุง  แก้ไข้  ดัดแปลงเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนได้ ซึ่งต้องมีการศึกษา  ค้นคว้า วิจัย ทดลอง อย่างสม่ำเสมอ และมีการประดิษฐ์ทดลองคิดค้นเครื่องมือ เครื่องจักรกลที่มีประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเทคโนดลยีระดับนี้ ได้แก่  การผลิตอาหารกระป๋อง  การเลือกพันธุ์สัตว์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ  การโคลนนิ่ง  การผลิตกะทิสำเร็จรูป  กะทิผง ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน  เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์   การบัญชี งานวิศวกรรม งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม  ระบบดาวเทียม  และนาโนเทคโนโลยี  เป็นต้น



เทคโนโลยีทางการเกษตร

        ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเรื่อง GMOs หรือ พืชดัดแปลงพันธุกรรม


GMOs คือ อะไร 


              GMOs ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Genetically Modified Organisms คือ สิ่งมีชีวิตซึ่งไม่ว่าจะเป็นพืช หรือ สัตว์ หรือ 

แบคทีเรีย หรือ จุลินทรีย์ ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจากกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม(Genetic Engineering)โดยจากการตัดเอา

ยีน(gene)ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมาใส่เข้าไปในยีนของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง โดยตามปกติไม่เคยผสมพันธุ์กันได้ในธรรมชาติ เพื่อ

ให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ที่มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่ต้องการ ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำยีนมาใส่เข้าไปแล้วก็คือจีเอ็มโอ(GMOs) 

ตัวอย่างเช่นนำยีนทนความหนาวเย็นจากปลาขั้วโลกมาผสมกับมะเขือเทศเพื่อให้มะเขือเทศปลูกในที่ที่อากาศหนาวเย็นได้ นำยีน

จากแบคทีเรียชนิดหนึ่งมาใส่ในยีนของถั่วเหลืองเพื่อให้ถั่วเหลืองทนทานต่อยาปราบวัชพืช นำยีนจากไวรัสมาใส่ในมะละกอเพื่อให้

มะละกอต้านทานโรคไวรัสใบด่างวงแหวนได้ เป็นต้น



ตัวอย่างของ พืช GMOs


อ้อย GMOs
     ทำให้ได้อ้อยที่มีลักษณะที่ดีขึ้น ทำให้สามารถต่อต้านยาฆ่าแมลง และมีปริมาณน้ำตาลซูโครสในปริมาณที่สูงขึ้น

ข้าว GMOs
     

     ทำให้ได้ข้าวที่มีลักษณะที่ดีขึ้น สามารถทนแล้ง ทนเค็มได้ หรือ มีสารอาหารอย่างบีต้าแคโรทีน(beta-carotene) ที่

เป็นสารเริ่มต้น(precursor)ของวิตามิน A ได้

พริกหวาน GMOs
     

      ทำให้ได้พริกหวานที่มีลักษณะที่ดีขึ้น จากการที่ใส่ยีนcoat proteinของไวรัสลงไปในดีเอ็นเอทำให้สามารถ

ต้านทานไวรัสได้

สตรอเบอรี่ GMOs
     

      ทำให้ได้สตรอเบอรี่ที่มีลักษณะที่ดีขึ้น อย่างเช่น ผลของสตรอเบอรี่เน่าเสียได้ช้าลง ก่อให้เกิดความสะดวกในการ

ขนส่งมากยิ่งขึ้น ทำให้ผลของสตรอเบอรี่มีสารอาหารเพิ่มมากขึ้น

แอปเปิล GMOs
     

      ทำให้ได้แอปเปิลที่มีลักษณะที่ดีขึ้น คือ ทำให้แอปเปิลมีความสดใหม่และมีความกรอบของผลแอปเปิลเป็นระยะ

เวลาที่ยาวนานขึ้นหรือคือทำให้ระยะเวลาในการเน่าเสียช้าลง (delay ripening) ทำให้แอปเปิลทนทานต่อแมลงต่างๆ ที่

เป็นศัตรูของแอปเปิล

วอลนัท GMOs
     

      ทำให้ได้เม็ดวอลนัทมีลักษณะที่ดีขึ้น คือ ทนทานต่อโรคของวอลนัทมากขึ้น

คาโนลา(Canola) GMOs
     

      ทำให้ได้คาโนลา(Canola)มีลักษณะที่ดีขึ้น ต้านทานยาปราบวัชพืชพวก glyphosate หรือ glufosinate ได้ ทำให้

ได้น้ำมันจากคาโนลา(Canola)มากขึ้น

ควอช(Squash) GMOs
     

      ทำให้ได้สควอช(Squash)มีลักษณะที่ดีขึ้น จากการที่ใส่ยีน coat protein ของไวรัสลงไปในดีเอ็นเอทำให้สามารถ

ต้านทานไวรัสได้


ข้อดีและข้อเสียของ GMOs

ข้อดีของ GMOs

ข้อดีต่อเกษตรกร

1. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น ทนต่อศัตรูพืช หรือมีความสามารถในการป้องกัน

ตนเองจากศัตรูพืช เช่น เชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย แมลงศัตรูพืช หรือแม้แต่ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืช หรือในบาง

กรณีอาจเป็นพืชที่ทนแล้ง ทนดินเค็ม ดินเปรี้ยว คุณสมบัติ เช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า

เป็น agronomic traits

2. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเก็บรักษาเป็นเวลานาน ทำให้สามารถอยู่ได้นานวัน และขนส่ง

ได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่เน่าเสีย เช่น มะเขือเทศที่สุกช้า หรือแม้จะสุกแต่ก็ไม่งอม เนื้อยังแข็ง และกรอบ ไม่งอมหรือ

เละเมื่อไปถึงมือผู้บริโภค ลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็น agronomic traits เช่นเดียวกัน เพราะให้ประโยชน์แก่เกษตรกรและผู้

จำหน่ายสินค้า GMOs 

ข้อดีต่อผู้บริโภค

1. ทำให้เกิดธัญพืช ผัก หรือผลไม้ที่มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นในทางโภชนาการ เช่น ส้มหรือมะนาวที่มีวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น 

หรือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ให้ผลมากกว่าเดิม ลักษณะเหล่านี้เป็นการเพิ่มคุณค่าเชิงคุณภาพ (quality traits)

2. ทำให้เกิดพันธุ์พืชใหม่ๆที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ เช่น ดอกไม้หรือพืชจำพวกไม้ประดับสายพันธุ์ใหม่ที่มี รูปร่างแปลก

กว่าเดิม ขนาดใหญ่กว่าเดิม สีสันแปลกไปจากเดิม หรือมีความคงทนกว่าเดิม ซึ่งถือว่าเป็น quality traits เช่นกัน


ข้อเสียของ GMOs

ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค

1. สารอาหารจาก GMOs อาจมีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เช่น เคยมีข่าวว่า กรดอะมิโน L-Tryptophan ของบริษัท 

Showa Denko ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐเกิดอาการป่วยและล้มตาย อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นนี้แท้จริงแล้วเป็น 

ผลมาจากความบกพร่องในขั้นตอนการควบคุมคุณภาพ (quality control) ทำให้มีสิ่งปนเปื้อนหลงเหลืออยู่ 

หลังจากกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มิใช่ตัว GMOs ที่เป็นอันตราย

2. ความกังวลในเรื่องของการเป็นพาหะของสารพิษ เช่น ความกังวลที่ว่า DNA จากไวรัสที่ใช้ในการทำ GMOs อาจเป็น

อันตราย เช่น การทดลองของ Dr.Pusztai ที่ทดลองให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มี lectin และพบว่าหนูมีภูมิคุ้มกันลดลง และมี

อาการบวมผิดปกติของลำไส้ ซึ่งงานชิ้นนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเห็น

ว่าการออกแบบการทดลองและวิธีการทดลองบกพร่องไม่ได้มาตรฐานตามหลักการวิทยาศาสตร์ ในขณะนี้เชื่อว่า

กำลังมีความพยายามที่จะดำเนินการทดลองที่รัดกุมมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น และจะสามารถสรุปได้

ว่าผลที่ปรากฏมาจากการตบแต่งทางพันธุกรรมหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น

3. สารอาหารจาก GMOs อาจมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่าอาหารปกติในธรรมชาติ เช่น รายงานที่ว่าถั่วเหลืองที่ 

ตัดแต่งพันธุกรรมมี isoflavone มากกว่าถั่วเหลืองธรรมดาเล็กน้อย ซึ่งสารชนิดนี้เป็นกลุ่มของสารที่เป็นphytoestrogen 

(ฮอร์โมนพืช) ทำให้มีความกังวลว่า การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่ 

โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กทารก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาผลกระทบของการเพิ่มปริมาณของสาร isoflavone ต่อกลุ่มผู้

บริโภคด้วย

4. ความกังวลต่อการเกิดสารภูมิแพ้ (allergen) ซึ่งอาจได้มาจากแหล่งเดิมของยีนที่นำมาใช้ทำ GMOs นั้น ตัวอย่าง 

ที่เคยมีเช่น การใช้ยีนจากถั่ว Brazil nut มาทำ GMOs เพื่อเพิ่มคุณค่าโปรตีนในถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารสัตว์ 

จากการศึกษาที่มีขึ้นก่อนที่จะมีการผลิตออกจำหน่าย พบว่าถั่วเหลืองชนิดนี้อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดอาการแพ้ 

เนื่องจากได้รับโปรตีนที่เป็นสารภูมิแพ้จากถั่ว Brazil nut บริษัทจึงได้ระงับการพัฒนา GMOs ชนิดนี้ไป อย่างไรก็ตาม

พืช GMOs อื่นๆที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปในโลกในขณะนี้ เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพดนั้นได้รับการประเมินแล้วว่าอัตรา

ความเสี่ยงไม่แตกต่างจากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปลูกอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน

5. การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์ปลอดภัยต่อผู้บริโภคหรือไม่? ในบางกรณี วัว หมู รวมทั้งสัตว์ชนิดอื่นที่ได้รับ 

recombinant growth hormone อาจมีคุณภาพที่แตกต่างไปจากธรรมชาติ และ/หรือมีสารตกค้างหรือไม่ 

ขณะนี้ยังไม่มีข้อยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสัตว์มีระบบสรีระวิทยาที่ซับซ้อนมากกว่าพืช และเชื้อจุลินทรีย์ 

ทำให้การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์อาจทำให้เกิดผลกระทบอื่นๆที่ไม่คาดคิดได้ โดยอาจทำให้สัตว์มีลักษณะและ 

คุณสมบัติเปลี่ยนไป และมีผลทำให้เกิดสารพิษอื่นๆที่เป็นสารตกค้างที่ไม่ปรารถนาขึ้นได้ การตบแต่งพันธุกรรม 

ในสัตว์ที่เป็นอาหารโดยตรง จึงควรต้องมีการพิจารณาขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่า 

เชื้อจุลินทรีย์และพืช






อ้างอิงจาก:

www.myumaisuniya.blogspot.com

www.digital.lib.kmutt.ac.th

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก Youtube