หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาขึ้นมา เช่น วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ โดยประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และสาขาอื่น ที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและแก้ปัญหาต่างๆ
เทคโนโลยีมีความสำคัญหลายด้าน ดังต่อไปนี้
1. สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเมื่อใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้าน ใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางแทนการเดินหรือนั่งรถประจำทาง เดินทางโดยเรือยนต์ ทำให้มนุษย์ ประหยัดเวลาและสะดวกสบายไม่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน มีเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและสุขภาพจิต ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ดี
2. เกิดการสื่อสารไร้พรหมแดน เมื่อใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคม เช่น โทรศัพท์ อินเตอร์เนท ดาวเทียม มนุษย์ทั่วโลกจะสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้ทุกที่ ทุกเวลา จึงเกิดความเสมอภาคกันในด้านศึกษาและการรับรู้ข่าวสารต่างๆ
3. ป้องกันความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย เช่นภาพถ่ายดาวเทียม กล้องโทรทัศน์วงจรปิด การติดตั้งเครื่องจับสัญญาณสึนามิในทะเล จะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินได้นั่นเอง
4. การทำงานรวดเร็วคล่องตัว เมื่อใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร โทรสาร จะช่วยให้ทำงานเสร็จในเวลาที่กำหนด และมีคุณภาพ ประหยัดทรัพยากร
5. แก้ปัญหาต่างๆ ได้ เมื่อใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ซึ่งอาจเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือนำงานวิจัยและพัฒนาของบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งอาจจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ เช่น การใช้วิธีแกล้งดิน ช่วยปรับสภาพดินเป็นกรดให้ปลูกพืชได้ การใช้พืชสมุนไพรในการกำจัดแมลงแทนสารเคมีช่วยแก้ปัญหาการเกิดมลพิษทางอากาศได้
ระดับของเทคโนโลยี
เทคโนโลยีเกิดจากการคิดค้นและพัฒนาของมนุษย์ มีหลักฐานปรากฏให้เห็นตั้งแต่ยุคโบราณซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินหรือใช้สอยประจำวัน ต่อมาในยุคกลางหรือยุคเหล็กจะเป็นการนำโลหะๆต่าง มาเป็นเครื่องมือและอาวุธรวมถึงการก่อสร้างที่อาศัย สำหรับในปัจจุบันสามารถแบ่งระดับของเทคโนโลยีได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. เทคโนโลยีระดับพื้นบ้านหรือพื้นฐาน เป็นเทคโนโลยียุคแรกของบรรพบุรุษซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสังคเกษตรกรรมพื้นบ้านที่มีการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธเพื่อใช้ในการล่าสัตว์นำมาเป็นอาหาร ผลิตวัสดุ และนำทรัพยากรท้องถิ่นมาใช้ รวมถึงมรการถนอมอาหาร เช่น อาหารตากแห้ง เทคโนโลยีระดับนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ หรือมีความรู้มากมาย เพียงแค่รู้หลักการและวิธีการใช้เท่านั้น ตัวอย่างเทคโนโลยีระดับนี้ ได้แก่ ขวาน มีดพร้า เสียม จอบ ลอบดักปลา อวน แห คันไถ หม้อไห กระต่ายขูดมะพร้าว ครกตำข้าว ยาสมุนไพร เรือพาย ครกกระเดื่อง ระหัดวิดน้ำ เครื่องสีข้าว ครกหินบดยา เป็นต้น
2. เทคโนโลยีระดับกลาง เป็นเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนขึ้นโดยต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ จากการแก้ปัญหาเกษตรกรรมพื้นบ้าน มาพัฒนาระบบการทำงาน กลไกลต่างๆ และแก้ไข ซ่อมแซม อุปกรณ์ เครื่องมือให้กลับมามีสภาพดีดังเดิม ตลอดจนเผยแพร่ความรู้แก่คนในท้องถิ่นได้ ตัวอย่าง เทคโนโลยีระดับนี้ ได้แก่ การใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน การใช้เครื่องทุ่นแรง เครื่องยนต์ มอเตอร์ การจับสัตว์น้ำด้วยเรือยนต์ลากจูง เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ กังหันลมช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้า กังหันลมช่วยสูบน้ำใต้ดิน สว่านไฟฟ้า เครื่องเจาะไฟฟ้า การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพ การสร้างอ่างเก็บน้ำ การผลิตอาหารจากผลผลิตเหลือใช้ทางการเกษตร เครื่องมือขูดมาพร้าวที่ติดมอเตอร์ใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
3. เทคโนโลยีระดับสูง เป็นเทคโนโลยีที่ผู้พัฒนาต้องมีประสบการณ์อันยาวนาน เพื่อให้สามารถปรับปรุง แก้ไข้ ดัดแปลงเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนได้ ซึ่งต้องมีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทดลอง อย่างสม่ำเสมอ และมีการประดิษฐ์ทดลองคิดค้นเครื่องมือ เครื่องจักรกลที่มีประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างเทคโนดลยีระดับนี้ ได้แก่ การผลิตอาหารกระป๋อง การเลือกพันธุ์สัตว์โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ การโคลนนิ่ง การผลิตกะทิสำเร็จรูป กะทิผง ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การบัญชี งานวิศวกรรม งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ระบบดาวเทียม และนาโนเทคโนโลยี เป็นต้น
เทคโนโลยีทางการเกษตร
ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเรื่อง GMOs หรือ พืชดัดแปลงพันธุกรรม
GMOs คือ อะไร
GMOs ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Genetically Modified Organisms คือ สิ่งมีชีวิตซึ่งไม่ว่าจะเป็นพืช หรือ สัตว์ หรือ
แบคทีเรีย หรือ จุลินทรีย์ ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจากกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม(Genetic Engineering)โดยจากการตัดเอา
ยีน(gene)ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมาใส่เข้าไปในยีนของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง โดยตามปกติไม่เคยผสมพันธุ์กันได้ในธรรมชาติ เพื่อ
ให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ที่มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่ต้องการ ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำยีนมาใส่เข้าไปแล้วก็คือจีเอ็มโอ(GMOs)
ตัวอย่างเช่นนำยีนทนความหนาวเย็นจากปลาขั้วโลกมาผสมกับมะเขือเทศเพื่อให้มะเขือเทศปลูกในที่ที่อากาศหนาวเย็นได้ นำยีน
จากแบคทีเรียชนิดหนึ่งมาใส่ในยีนของถั่วเหลืองเพื่อให้ถั่วเหลืองทนทานต่อยาปราบวัชพืช นำยีนจากไวรัสมาใส่ในมะละกอเพื่อให้
มะละกอต้านทานโรคไวรัสใบด่างวงแหวนได้ เป็นต้น
ตัวอย่างของ พืช GMOs
อ้อย GMOs
ทำให้ได้อ้อยที่มีลักษณะที่ดีขึ้น ทำให้สามารถต่อต้านยาฆ่าแมลง และมีปริมาณน้ำตาลซูโครสในปริมาณที่สูงขึ้น
ข้าว GMOs
ทำให้ได้ข้าวที่มีลักษณะที่ดีขึ้น สามารถทนแล้ง ทนเค็มได้ หรือ มีสารอาหารอย่างบีต้าแคโรทีน(beta-carotene) ที่
เป็นสารเริ่มต้น(precursor)ของวิตามิน A ได้
พริกหวาน GMOs
ทำให้ได้พริกหวานที่มีลักษณะที่ดีขึ้น จากการที่ใส่ยีนcoat proteinของไวรัสลงไปในดีเอ็นเอทำให้สามารถ
ต้านทานไวรัสได้
สตรอเบอรี่ GMOs
ทำให้ได้สตรอเบอรี่ที่มีลักษณะที่ดีขึ้น อย่างเช่น ผลของสตรอเบอรี่เน่าเสียได้ช้าลง ก่อให้เกิดความสะดวกในการ
ขนส่งมากยิ่งขึ้น ทำให้ผลของสตรอเบอรี่มีสารอาหารเพิ่มมากขึ้น
แอปเปิล GMOs
ทำให้ได้แอปเปิลที่มีลักษณะที่ดีขึ้น คือ ทำให้แอปเปิลมีความสดใหม่และมีความกรอบของผลแอปเปิลเป็นระยะ
เวลาที่ยาวนานขึ้นหรือคือทำให้ระยะเวลาในการเน่าเสียช้าลง (delay ripening) ทำให้แอปเปิลทนทานต่อแมลงต่างๆ ที่
เป็นศัตรูของแอปเปิล
คาโนลา(Canola) GMOs
ทำให้ได้คาโนลา(Canola)มีลักษณะที่ดีขึ้น ต้านทานยาปราบวัชพืชพวก glyphosate หรือ glufosinate ได้ ทำให้
ได้น้ำมันจากคาโนลา(Canola)มากขึ้น
ข้าว GMOs
ทำให้ได้ข้าวที่มีลักษณะที่ดีขึ้น สามารถทนแล้ง ทนเค็มได้ หรือ มีสารอาหารอย่างบีต้าแคโรทีน(beta-carotene) ที่
เป็นสารเริ่มต้น(precursor)ของวิตามิน A ได้
พริกหวาน GMOs
ทำให้ได้พริกหวานที่มีลักษณะที่ดีขึ้น จากการที่ใส่ยีนcoat proteinของไวรัสลงไปในดีเอ็นเอทำให้สามารถ
ต้านทานไวรัสได้
สตรอเบอรี่ GMOs
ทำให้ได้สตรอเบอรี่ที่มีลักษณะที่ดีขึ้น อย่างเช่น ผลของสตรอเบอรี่เน่าเสียได้ช้าลง ก่อให้เกิดความสะดวกในการ
ขนส่งมากยิ่งขึ้น ทำให้ผลของสตรอเบอรี่มีสารอาหารเพิ่มมากขึ้น
แอปเปิล GMOs
ทำให้ได้แอปเปิลที่มีลักษณะที่ดีขึ้น คือ ทำให้แอปเปิลมีความสดใหม่และมีความกรอบของผลแอปเปิลเป็นระยะ
เวลาที่ยาวนานขึ้นหรือคือทำให้ระยะเวลาในการเน่าเสียช้าลง (delay ripening) ทำให้แอปเปิลทนทานต่อแมลงต่างๆ ที่
เป็นศัตรูของแอปเปิล
คาโนลา(Canola) GMOs
ทำให้ได้คาโนลา(Canola)มีลักษณะที่ดีขึ้น ต้านทานยาปราบวัชพืชพวก glyphosate หรือ glufosinate ได้ ทำให้
ได้น้ำมันจากคาโนลา(Canola)มากขึ้น
ข้อดีของ GMOs
1. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เช่น ทนต่อศัตรูพืช หรือมีความสามารถในการป้องกัน
ตนเองจากศัตรูพืช เช่น เชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย แมลงศัตรูพืช หรือแม้แต่ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืช หรือในบาง
กรณีอาจเป็นพืชที่ทนแล้ง ทนดินเค็ม ดินเปรี้ยว คุณสมบัติ เช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า
เป็น agronomic traits
2. ทำให้เกิดพืชสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะแก่การเก็บรักษาเป็นเวลานาน ทำให้สามารถอยู่ได้นานวัน และขนส่ง
ได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่เน่าเสีย เช่น มะเขือเทศที่สุกช้า หรือแม้จะสุกแต่ก็ไม่งอม เนื้อยังแข็ง และกรอบ ไม่งอมหรือ
เละเมื่อไปถึงมือผู้บริโภค ลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็น agronomic traits เช่นเดียวกัน เพราะให้ประโยชน์แก่เกษตรกรและผู้
จำหน่ายสินค้า GMOs
ข้อดีต่อผู้บริโภค
1. ทำให้เกิดธัญพืช ผัก หรือผลไม้ที่มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นในทางโภชนาการ เช่น ส้มหรือมะนาวที่มีวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น
หรือผลไม้ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ให้ผลมากกว่าเดิม ลักษณะเหล่านี้เป็นการเพิ่มคุณค่าเชิงคุณภาพ (quality traits)
2. ทำให้เกิดพันธุ์พืชใหม่ๆที่มีคุณค่าในเชิงพาณิชย์ เช่น ดอกไม้หรือพืชจำพวกไม้ประดับสายพันธุ์ใหม่ที่มี รูปร่างแปลก
กว่าเดิม ขนาดใหญ่กว่าเดิม สีสันแปลกไปจากเดิม หรือมีความคงทนกว่าเดิม ซึ่งถือว่าเป็น quality traits เช่นกัน
ข้อเสียของ GMOs
ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
1. สารอาหารจาก GMOs อาจมีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตราย เช่น เคยมีข่าวว่า กรดอะมิโน L-Tryptophan ของบริษัท
Showa Denko ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐเกิดอาการป่วยและล้มตาย อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นนี้แท้จริงแล้วเป็น
ผลมาจากความบกพร่องในขั้นตอนการควบคุมคุณภาพ (quality control) ทำให้มีสิ่งปนเปื้อนหลงเหลืออยู่
หลังจากกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ มิใช่ตัว GMOs ที่เป็นอันตราย
2. ความกังวลในเรื่องของการเป็นพาหะของสารพิษ เช่น ความกังวลที่ว่า DNA จากไวรัสที่ใช้ในการทำ GMOs อาจเป็น
อันตราย เช่น การทดลองของ Dr.Pusztai ที่ทดลองให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มี lectin และพบว่าหนูมีภูมิคุ้มกันลดลง และมี
อาการบวมผิดปกติของลำไส้ ซึ่งงานชิ้นนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความเห็น
ว่าการออกแบบการทดลองและวิธีการทดลองบกพร่องไม่ได้มาตรฐานตามหลักการวิทยาศาสตร์ ในขณะนี้เชื่อว่า
กำลังมีความพยายามที่จะดำเนินการทดลองที่รัดกุมมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น และจะสามารถสรุปได้
ว่าผลที่ปรากฏมาจากการตบแต่งทางพันธุกรรมหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น
3. สารอาหารจาก GMOs อาจมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่าอาหารปกติในธรรมชาติ เช่น รายงานที่ว่าถั่วเหลืองที่
ตัดแต่งพันธุกรรมมี isoflavone มากกว่าถั่วเหลืองธรรมดาเล็กน้อย ซึ่งสารชนิดนี้เป็นกลุ่มของสารที่เป็นphytoestrogen
(ฮอร์โมนพืช) ทำให้มีความกังวลว่า การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน estrogen อาจทำให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่
โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กทารก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาผลกระทบของการเพิ่มปริมาณของสาร isoflavone ต่อกลุ่มผู้
บริโภคด้วย
4. ความกังวลต่อการเกิดสารภูมิแพ้ (allergen) ซึ่งอาจได้มาจากแหล่งเดิมของยีนที่นำมาใช้ทำ GMOs นั้น ตัวอย่าง
ที่เคยมีเช่น การใช้ยีนจากถั่ว Brazil nut มาทำ GMOs เพื่อเพิ่มคุณค่าโปรตีนในถั่วเหลืองสำหรับเป็นอาหารสัตว์
จากการศึกษาที่มีขึ้นก่อนที่จะมีการผลิตออกจำหน่าย พบว่าถั่วเหลืองชนิดนี้อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดอาการแพ้
เนื่องจากได้รับโปรตีนที่เป็นสารภูมิแพ้จากถั่ว Brazil nut บริษัทจึงได้ระงับการพัฒนา GMOs ชนิดนี้ไป อย่างไรก็ตาม
พืช GMOs อื่นๆที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปในโลกในขณะนี้ เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพดนั้นได้รับการประเมินแล้วว่าอัตรา
ความเสี่ยงไม่แตกต่างจากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปลูกอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
5. การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์ปลอดภัยต่อผู้บริโภคหรือไม่? ในบางกรณี วัว หมู รวมทั้งสัตว์ชนิดอื่นที่ได้รับ
recombinant growth hormone อาจมีคุณภาพที่แตกต่างไปจากธรรมชาติ และ/หรือมีสารตกค้างหรือไม่
ขณะนี้ยังไม่มีข้อยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสัตว์มีระบบสรีระวิทยาที่ซับซ้อนมากกว่าพืช และเชื้อจุลินทรีย์
ทำให้การตบแต่งพันธุกรรมในสัตว์อาจทำให้เกิดผลกระทบอื่นๆที่ไม่คาดคิดได้ โดยอาจทำให้สัตว์มีลักษณะและ
คุณสมบัติเปลี่ยนไป และมีผลทำให้เกิดสารพิษอื่นๆที่เป็นสารตกค้างที่ไม่ปรารถนาขึ้นได้ การตบแต่งพันธุกรรม
ในสัตว์ที่เป็นอาหารโดยตรง จึงควรต้องมีการพิจารณาขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากกว่า
เชื้อจุลินทรีย์และพืช
อ้างอิงจาก:
www.myumaisuniya.blogspot.com
www.digital.lib.kmutt.ac.th
ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก Youtube
ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก Youtube
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น